Skip to content

นี่คือรถสองรุ่นพิเศษที่ตกแต่งเสริมสมรรถนะมาจากรถไฟฟ้า จากพื้นฐานของรถโปรดักชั่นอย่าง ZERO MOTORCYCLES จากแคลิฟอร์เนีย ที่เป็นที่ยอมรับกันว่า เป็นแบรนด์รถไฟฟ้าสมรรถนะสูง

สำหรับ E-Racer Motorcycle ได้พรีเซ้นท์ว่าจะผลิตขายในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2020 นี้ อย่างที่บอกว่า พื้นฐานมาจากแบรนด์ ZERO ที่ใช้โรงงานผลิตเดียวกัน โดยข่าวแจ้งว่าจะมีสองโมเดลหรือสองเวอร์ชั่นออกมา คือ E-Racer Edge กับรุ่น Zero SR-F ที่จะออกแนว Café Racer กับ E-Racer Rugged Mark2 เอาเป็นว่าเราจะขอข้ามเรื่องราวของรถไฟฟ้าในสไตล์ Hypersport อย่าง Zero SR-F ไปก็แล้วกัน แต่จะมาโฟกัสที่ E-Racer RUGGED Mark2 ซึ่งเดิมทีเลยรถต้นแบบหรือโปรโตไทพ์นั้นเคยเผยโฉมครั้งแรกตั้งแต่งาน EICMA 2018 นานมาแล้ว ซึ่งจากโฉมของ RUGGED นั้นก็คือพื้นฐานเดิมจาก Zero FXS ตัวต้นแบบนั่นเอง แต่ได้มีการนำไปปรับเสริมเติมแต่งทางด้านวิศวกรรมในส่วนต่างๆ เพื่อให้มีความพร้อมที่จะผลิตขายอย่างเป็นทางการภายใต้ช่วงเวลาที่กำหนดไว้ในปีนี้

หนึ่งในองค์ประกอบหลักของ Rugged ก็คือเฟรมอลูมินัม aluminum frame ที่เดิมนั้นเป็นแบบที่พัฒนามาเป็นรถ Zero FXS ที่มีวัตถุประสงค์ในการใช้งานในกองทัพ จึงมีห่วงสำหรับยึดด้านข้างเพื่อยึดติดกับเรือหรือยานยนต์บรรทุก ตามจุดประสงค์เดิมในการออกแบบ ดังนั้นเมื่อถูกนำมาใช้กับ E-Racer จึงได้รับการปรับแบบใหม่ ไฟหน้า และไฟท้าย เป็นแบบ full LED ที่ผ่านการโฮโมโลเกทเพื่อนำมาปรับใช้บนท้องถนน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีชั้นนำจากผู้ผลิตจากเยอรมันในการผลิต LED ยกตัวอย่างเช่น ไฟหน้า เป็นแบบ two polyellipsoidal micro unit ที่มีความกว้างเพียงสี่เซนติเมตรเท่านั้น ในบริเวณพื้นที่ใต้เบาะนั้น มีพื้นที่มากพอสำหรับเก็บของส่วนตัวของผู้ขี่ ขณะเดียวกันก็ใช้กลไกระบบไฮดรอลิค ในการเปิดปิดเบาะที่ออกแบบมาอย่างสวยงามควบคู่กับการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในพื้นที่ใต้เบาะนั้นก็จะมีสายชารจ์ความยาว 15 เมตร ที่ช่วยอำนวยความสะดวกขณะที่จอดระหว่างทางหรือจอดในบ้านก็สามารถดึงสายเสียบกับแหล่งจ่ายไฟได้อย่างสะดวก

เบาะนั่งยาวเรียวเทียบแล้วสามารถที่จะนั่งสามคนได้สบายๆ ซึ่งทีมพัฒนาได้ทำเบาะด้วยการเย็บมือ ที่จัดได้ว่าเป็นงานในระดับแฮนเมดชั้นดี ในส่วนของไฟส่องสว่าง ของ Rugged นั้น ติดตั้งหลด LED ที่เรียกว่า Eagle Eye ขนาดเล็กสิบสองหลอด ที่สามารถส่องสว่างรอบทิศทาง ช่วยให้ผู้ขี่มีทัศนวิสัยที่ดียามค่ำคืนหรือในขณะที่สภาวะอากาศไม่ดี ด้วยจุดประสงค์เดิมที่พื้นฐานการออกแบบนั้นเพื่อใช้งานในกองทัพ ดังนั้นจึงเป็นการเอื้อในหลายๆ ด้านเมื่อนำมาปรับสำหรับใช้งานทั่วไป โดยเฉพาะการนำมาใช้ในแบบออฟโรด

ทั่วไปก็คือ เสียงเครื่องยนต์ก็จะขาดหายไป ด้วยเหตุนี้เพื่อให้ปลอดภัยจากความเงียบ จึงได้มีการพัฒนาระบบเสียง E-RAF หรือ E-Racer Audio-Forceback system ที่มีความถี่สองแบบแบบหนึ่งเพื่อแสดงให้ผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นรู้ว่ามีรถกำลังมา และอีกอย่างหนึ่งเป็นคลื่นเสียงที่ช่วยให้ผู้ขี่รู้ถึงจังหวะการขี่ต่างๆ โดยในระบบเสียงนี้ จะติดตั้งอยู่ในอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์อย่างดี โดยจะควบคุมการทำงานด้วยแอพลิเคชั่น BT App สำหรับราคาเบื้องต้นนั้น คาดว่าจะสตาร์ที่ 6 พันยูโร ส่วนข้อมูลสเปคพื้นฐานของรถมีดังนี้
Tech Specs
MAX POWER 46 hp (34 kW)
MAX TORQUE 106 Nm
MAX SPEED 137 km/h
CHARGING TIME With max accessory
chargers: 1.8 hours (100% charged) /
1.3 hours (95% charged)
RANGE City : 161 km
WEIGHT : 136 Kg
FRAME : Aircraft-grade
WHEELS : front 120/70-17 – Rear 140/70 x 17
BODY: Kevlar and carbon fiber, 3d printed nylon,
Eco leather and Alcantara® Seat with tailored seam